
“ภูมิธรรม” ยันกับ ผบ.เหล่าทัพ มีความเคารพ และเชื่อมั่นต่อกัน ย้ำโยกย้ายทหารละเอียดอ่อน การเมืองไม่อยากแทรกแซงอยู่แล้ว ส่วนการปฏิวัติ ตาม รธน.กฎหมายสูงสุด ทำไม่ได้อยู่แล้ว
เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.67 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าวถึงการทำงานในกระทรวงกลาโหม ว่า ยอมรับว่าตอนที่เข้ามายังมีพื้นฐานความเข้าใจกองทัพไม่ลึกซึ้งเพียงพอ แต่ได้เรียนรู้ โดยหัวใจสำคัญคือการทำความเข้าใจโครงสร้างปัญหา จะได้รู้ว่าแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าจัดการได้ดีไม่มีปัญหา เรามีหน้าที่ต้องรับภารกิจและแก้ปัญหา การเริ่มงานที่กระทรวงกลาโหม ถือว่ายังไม่โดดเด่นอะไร แต่พยายามจัดการ เพื่อให้มีองค์ประกอบที่สำคัญ ส่วนปัญหาค้างคาต้องยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่คลี่คลายไปในทางที่อยากได้ แต่ต้องเริ่มต้นและทำความเข้าใจ ตนมีศักยภาพและการบริหารจัดการ มีมนุษยสัมพันธ์ และวิธีบริหารที่จะเข้าใจทุกคน คิดว่ากองทัพที่ตนเคยมองมาตั้งแต่เป็นนักศึกษา จนถึงปัจจุบันเราเห็นอีกด้านหนึ่ง แต่พอวันนี้ที่ได้เข้ามาก็เห็นอีกแบบ ซึ่งความคิดไม่ตรงกันหรืออาจมีปัญหาก็พยามปรับให้เข้ากัน
“เชื่อว่าการได้พบกับผู้นำเหล่าทัพทั้งหมด ปลัดกลาโหม และรมช.กลาโหม ที่เป็นทหาร 100% สร้างความเชื่อมั่นต่อกันได้ ยอมรับที่จะคุยกัน เคารพกัน ผมเคารพ ผบ.เหล่าทัพ เพราะมีความตั้งใจเติบโตมาในสายงานที่เป็นอยู่และพยายามทำให้ดีที่สุด ส่วนผมเป็นฝ่ายนโยบาย เป็นนักการเมือง ในอดีตฝ่ายประจำ หรือฝ่ายการเมืองมักมีอะไรขัดแย้งกันเสมอ แต่ที่เริ่มต้นตรงนี้ก็คุยกันไม่มีปัญหา ทุกอย่างไม่สามารถแก้ไขได้ทันทีหรือทีเดียว ต้องอาศัยเวลา”นายภูมิธรรมกล่าว
นายภูมิธรรม กล่าวด้วยว่า ส่วนเรื่องการเกณฑ์ทหาร ได้เริ่มต้นไปมากแล้ว คิดว่าจะเกิดผลในปี 2568 ตอนนี้ได้เริ่มรับสมัครทหารเกณฑ์ออนไลน์ โดยต้องพิสูจน์ให้พวกเขาเห็นว่ามาแล้วจะได้อะไร ทำอะไรที่เป็นประโยชน์ จึงมอบปลัดกลาโหม รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ร่วมกันจัดทำหลักสูตรทหาร ให้สอดรับกับยุคสมัยที่จะเกิดขึ้น โดยมีคณะทำงานเกิดขึ้นแล้ว อีกทั้งถ้าใครเป็นทหารแบบสมัครใจ สามารถเลือกเหล่า หรือหน่วยได้ พร้อมกับมีการฝึกอาชีพ ขณะเดียวกันจะมีการย้ายสัสดีทั้งหมด โดยจะให้มีสัดส่วนของ กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ด้วย เริ่มต้นอาจให้ร่วมเรียนรู้กับสัสดีที่เป็นทหารบกก่อน เพื่อเป็นกลุ่มตัวอย่าง ส่วนประเด็นการทำร้ายทรมานทหาร ไม่อยากให้มองว่าคนส่วนน้อยมาทำลายความน่าเชื่อถือ และเกียรติภูมิของกองทัพ จึงเสนอให้ประกาศชัดเจนว่าถ้าใครทำมีปัญหา ปีถัดไปจะเห็นการมีผลในทางปฏิบัติมากขึ้น
เมื่อถามว่า ช่วงที่มีกระแสแก้ไขร่าง พ.ร.บ.กลาโหม ปฏิกิริยาของทหารเป็นอย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า มีหลายเรื่องที่เขาเป็นห่วง เช่น การห้ามปฏิวัติ ไม่ต้องห้ามหรอก เพราะรัฐธรรมนูญ ที่เป็นกฎหมายสูงสุดห้ามอยู่แล้ว ว่าทำไม่ได้ และเขาก็ไม่ได้คิดอยากจะทำ แต่ถ้าจะทำก็คงจำเป็นต้องทำ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ปัญหาคือต้องช่วยกันรอบด้านไม่ให้มีการปฏิวัติ เพราะเขาก็ไม่อยากทำเหมือนกัน ส่วนที่ทหารยังรู้สึกกังวลใจและไม่เห็นด้วย กับการโยกย้ายทหาร เวลาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา โดยเฉพาะถ้ารู้ว่าคนคนนี้จะเกี่ยวข้องกับการปฏิวัติ ซึ่งทหารบอกว่าผิดหลักเกณฑ์การบริหารจัดการกองทัพ กองทัพมีหน้าที่ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ ซึ่งเกี่ยวข้องกับชีวิตของประชาชนและชีวิตของพวกเขาเอง ถ้าสั่งว่าต้องไปรบ ต้องไปยึดเนินนั้นแต่ลูกน้องบอกว่าไม่ไป เพราะไกล การปฏิเสธผู้บังคับบัญชาแบบนี้ทำไม่ได้ จะเสียวินัยการจัดการกองทัพ ไม่ว่าถูกหรือผิดคนสั่งการจะเป็นคนรับผิดชอบ
นอกจากนี้ถ้าสามารถโยกย้ายได้ เมื่อรู้ว่าใครจะทำรัฐประหาร ทั้งที่ไม่มีข้อมูลเชิงประจักษ์มายืนยัน ก็เกรงว่าจะถูกเอามาเป็นเงื่อนไขในการกลั่นแกล้งการเมือง จึงขอว่าอย่าทำเลย ให้เป็นการพูดคุยกันมากกว่า และจากที่ผมพูดคุยกับทหารหลายระดับ เห็นคล้ายกัน เรื่องนี้เราคงต้องทบทวน ซึ่งในที่ประชุมกลั่นกรอง ที่ตนเป็นประธานอยู่ ก็ให้กลับไปกรองดูว่าถ้าจะรักษาความต้องการของทั้งสองฝ่าย จุดศูนย์กลางอยู่ตรงไหน หรือถ้าเรื่องนี้รับกันไม่ได้เลย ก็อาจยังไม่มีข้อสรุป ตอนนี้ก็มาดูว่าเรื่องไหนทำได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็ให้บอกมา
เมื่อถามถึง การกำหนดจำนวนบุคคลในสภากลาโหม ที่อยากให้มีการลดสัดส่วนทหาร รมว.กลาโหม กล่าวว่า ทหารมีการแบ่งหน้าที่รับผิดชอบ ระดับผู้บัญชาการ ดูภาพรวมแต่ไม่ได้ลงลึกรายละเอียด จึงไม่เห็นด้วยถ้าจะไปลดให้เหลือ 1-2 คน เพราะสาระสำคัญคือการทำความเข้าใจให้ตรงกัน ปฏิบัติร่วมกันดีกว่า ซึ่งตนก็เห็นตามนั้น และตนได้เข้าประชุมสภากลาโหม มาประมาณ 3 ครั้ง ก็รู้ว่าทหารไม่ได้ชอบโหวต แต่ชอบคุยกันให้เข้าใจ ดังนั้นจะ 5 คน หรือ 3 คน ไม่สำคัญ อยู่ที่การพูดคุยหลักการเหตุผล ตนก็รับฟังได้ แม้กระทั่งการแต่งตั้ง ผบ.ทร. ครั้งที่แล้ว ให้โหวตอย่างไรก็ไม่โหวต แต่เห็นว่าควรเป็นการเห็นพ้องกัน
ส่วนการแต่งตั้งนายทหารผ่าน ครม.อย่างไร นายภูมิธรรม กล่าวว่า เรื่องนี้เป็นความเห็นที่แตกต่าง ตนพูดไม่ได้ แต่ก็เคยมีกระบวนการแบบนี้มาก่อน และมีเหตุผลรองรับได้ แต่พูดยาก แต่สามารถทำให้เข้าใจโดยไม่ใช่พูดในที่สาธารณะ และความเป็นจริงกระบวนการแต่งตั้งกองทัพเราไม่อยากแทรกแซงอยู่แล้ว หรือแม้แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เราก็เข้าไปมีบทบาทมากกว่าทหาร สิ่งสำคัญคือการวางระบบ เพื่อให้เกิดความพอดีของฝ่ายนโยบายและฝ่ายกองทัพให้พอเหมาะพอควร เรื่องนี้ละเอียดอ่อนแต่สามารถทำความเข้าใจกันได้ ถ้าคุยกันลึกแล้วอาจหาทางออกได้ โดยต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง
ต้องบอกว่าหลายเรื่องยากจะพูด หลายเรื่องก็ชี้แจงได้ หลายเรื่องที่จำเป็นต้องบอกข้อเท็จจริงสาธารณะ ก็ตอบไม่ได้ เช่นเรื่องว้า เรื่อง 4 ลูกเรือประมงไทย ที่ชี้แจงได้ตามกรอบ เพราะหลายเรื่องยังเป็นการเจรจาและมันเกี่ยวพันกับเขตแดน ซึ่งเรื่องเขตแดนไม่ใช้วิธีการพูดต่อสาธารณะให้อีกฝ่ายรู้ แต่เป็นการเอาข้อเท็จจริงไปต่อรองกัน มันไม่ได้สำเร็จง่ายในโลกนี้ ทุกประเทศมีปัญหาเขตแดนทั้งนั้น ดังนั้นเมื่อมีปัญหาสิ่งที่ดีที่สุดคืออ้างสิทธิ์ของตัวเอง แล้วดูว่าจะแก้ปัญหาอย่างไร โดยยึดถือกฎหมายระหว่างประเทศ หัวใจสำคัญคือการอดทนอดกลั้น แก้ปัญหาอย่างสันติวิธี ให้เกิดการยอมรับทั้งหมด แต่ถ้ายังแก้ไม่ได้ก็ควรตกลงกันขั้นต้น เพื่อให้แต่ละส่วนไม่เสียประโยชน์ ขณะเดียวกันย้ำว่า รัฐบาลจะไม่เป็นศัตรูกับใคร ไม่ว่าจะเป็นสหรัฐฯ หรือ จีน เราต้องเลือกทางเดินที่เป็นประโยชน์ที่สุด