“บิ๊กแมว” เปิดพระราชวังเดิม ส่งมอบหน้าที่ “ผบ.ทร.” ให้ “บิ๊กเฟื่อง” ขึ้นเป็น แม่ทัพเรือ คนที่ 59 ย้ำตั้งมั่นทำหน้าทีด้วยความซื่อสัตย์สุจริต
เมื่อเวลา 09.30 น. วันที่ 29 ก.ย.68 ที่ท้องพระโรง กองบัญชาการกองทัพเรือ พระราชวังเดิม พล.ร.อ.จิรพล ว่องวิทย์ ทำพิธีส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ ให้แก่ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ โดย พล.ร.อ.จิรพล ตรวจแถวกองทหารเกียรติยศ จากนั้นผู้บัญชาการทหารเรือท่านเก่าและผู้บัญชาการทหารเรือท่านใหม่เดินทางไปยังท้องพระโรง พระราชวังเดิม กรุงธนบุรี ในการลงนามส่งมอบหน้าที่ผู้บัญชาการทหารเรือ
พล.ร.อ.จิรพล กล่าวมอบการบังคับบัญชา พร้อมทั้งมอบตราและธงประจำตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ ให้แก่ พล.ร.อไพโรจน์ และกล่าวเชิญดื่มถวายพระพรชัยมงคล

จากนั้น พล.ร.อ.จิรพล กล่าวว่า นับจากวันที่ได้รับมอบหน้าที่ผู้บัญชาการทหารเรือและการบังคับบัญชา ณ ที่แห่งนี้ เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2567 ระลึกอยู่เสมอว่าจะปกครองบังคับบัญชาด้วยความเที่ยงธรรม ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ยึดมั่นในผลประโยชน์ของกองทัพเรือ และธำรงไว้ซึ่งเอกราชอธิปไตยของชาติเป็นสำคัญ เพื่อให้กองทัพเรือดำรงอยู่อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ดังเช่นที่เป็นมา
“จนมาถึงวันที่ผมได้กลับมายืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้อีกครั้ง ในวันที่ผมจะต้องพ้นจากหน้าที่ไปตามวาระ ตลอดระยะเวลา 1 ปี ที่ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ หน่วยต่างๆ ของกองทัพเรือได้ร่วมแรงร่วมใจกันปฏิบัติภารกิจอันสำคัญ ทั้งด้านการป้องกันประเทศ การคุ้มครองรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบภัยพิบัติ การรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ตลอดจนการถวายพระเกียรติและความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ แม้ว่างบประมาณในส่วนของกองทัพเรือจะถูกปรับลดลงไปตามสภาพเศรษฐกิจและสถานการณ์โลก แต่ทหารเรือทุกนายยังคงร่วมกันปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ” พล.ร.อ.จิรพลกล่าว

พล.ร.อ.จิรพล กล่าวว่า ขอขอบคุณเพื่อนข้าราชการ ทหาร ลูกจ้าง และพนักงานราชการทุกคน ทุกหน่วย ที่ได้ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดียิ่ง ในการปฏิบัติหน้าที่ตามแนวทางที่ได้ตั้งปณิธานไว้ การปฏิบัติเหล่านี้ล้วนเป็นผลให้กองทัพเรือดำรงอยู่ได้อย่างมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ได้รับการยกย่องดังเช่นที่บรรพบุรุษทหารเรือได้สร้างไว้ในอดีต และเป็นกองทัพที่มีคุณค่ายิ่งของประเทศชาติและประชาชนอย่างแท้จริง แม้ว่าวันนี้จะต้องจากกองทัพเรือไปตามวาระ แต่ความภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ ความประทับใจ และความทรงจำที่ดีตลอดเวลายาวนานกว่า 40 ปีในกองทัพเรือจะยังคงอยู่ในใจผมตลอดไป
ด้าน พล.ร.อ.พโรจน์ กล่าวว่า ตั้งแต่ พล.ร.อ.จิรพล ตั้งแต่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทร.จนครบเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายน ตนพร้อมด้วยเพื่อนนายทหารที่มาชุมนุมพร้อมกัน ณ ที่นี้ พร้อมใจกันด้วยความมุ่งมั่นที่จะแสดงกตเวทิตาจิต ระลึกถึงคุณงามความดีที่ท่าน ผบ.ทร.ได้ปฏิบัติมาตลอดชีวิตการรับราชการ
“นับตั้งแต่ท่านสำเร็จการศึกษาและบรรจุเข้ารับราชการ นายทหารเรือ รุ่นพี่ เพื่อน รุ่นน้อง ตลอดจนผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้เคยปฏิบัติงานร่วมกับท่านต่างยอมรับในความรู้ ความสามารถ ความซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร สติปัญญา รวมทั้งความเป็นผู้นำในการปกครองบังคับบัญชา ท่านจึงได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญในทุกระดับชั้น ครั้นเมื่อมีความเจริญก้าวหน้าในชีวิตราชการ จนได้ก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำสูงสุดของกองทัพเรือ ท่านก็ยังคงปฏิบัติตามแนวทางที่ได้ตั้งใจไว้” พล.ร.อ.พโรจน์กล่าว

พล.ร.อ.ไพโรจน์กล่าวต่อว่า ตั้งแต่เริ่มชีวิตราชการ ตั้งมั่นในความซื่อสัตย์สุจริต ทุ่มเทกำลังกาย และกำลังสติปัญญา ปฏิบัติงานในการเสริมสร้าง ความมั่นคงเข้มแข็งให้แก่กองทัพเรือ สร้างความดีและทำคุณประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติ เป็นอเนกประการ ยึดมั่นในการดำรงไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นผลให้กองทัพเรือเป็นกองทัพที่สง่างาม มีคุณค่า สามารถพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของชาติ และเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง ตลอดชีวิตการรับราชการอันยาวนานของท่าน ท่านได้สร้างความดีและทำคุณประโยชน์ให้กับกองทัพเรือและประเทศชาตินานัปการ
พล.ร.อ.ไพโรจน์กล่าวว่า ในวาระที่ท่านจะครบเกษียณอายุราชการ ตนและกำลังพลกองทัพเรือทุกนายต่างรู้สึกระลึกถึงด้วยความผูกพัน และขอจดจำคุณงามความดีที่ท่านได้กระทำไว้ รวมทั้งจะยึดถือเป็นแบบอย่างที่ดี ในการปฏิบัติราชการสืบต่อไป
เมื่อเสร็จสิ้นพิธี พล.ร.อ.จิรพลได้เดินทางไปที่สนามหน้าท้องพระโรงเพื่ออำลากองทหารเกียรติยศ โอกาสนี้ ปืนใหญ่ที่ป้อมวิไชยประสิทธิ์ยิงสลุตเทิดเกียรติแก่ พล.ร.อ.จิรพล จำนวน 19 นัด โดยมีข้าราชการจากหน่วยของกองทัพเรือ ตลอดจนสื่อมวลชนสายทหาร ร่วมส่งผู้บัญชาการทหารเรือท่านเก่าเดินทางกลับ

สำหรับ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ เป็นผู้บัญชาการทหารเรือลำดับที่ 59 สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ 24 ปริญญาตรี วิทยาศาสตรบัณฑิต โรงเรียนนายเรือ รุ่นที่ 81 หลักสูตรเสนาธิการทหารเรือ รุ่นที่ 58 หลักสูตร Joint Command and Staff วิทยาลัยเสนาธิการทหาร สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ หลักสูตรปริญญาโท สาขา Maritime Policy มหาวิทยาลัยวูลลองกอง เครือรัฐออสเตรเลีย หลักสูตรวิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ 42 และหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ 63