
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) รวบดาวกองร้อย นายร้อยปอยเปต แก๊งคอลเซ็นเตอร์ แต่งเป็นตำรวจวีดีโอคอลลวงเหยื่อผู้เสียหาย 2 ราย พบมีผู้เสียหายกว่า 163 เคส
เมื่อวันที่ 3 ก.พ.68 บก.ปอท. โดย พ.ต.ท.ภัททสักก์ ธนสุกาญจน์ , พ.ต.ท.เอกพล แสงอรุณ รอง ผกก.1 บก.ปอท. พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.1 บก.ปอท.ร่วมกันจับกุม 1. นายรามิลฯ อายุ 31 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา (สน.พญาไท) ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยแสดงตนเป็นบุคคลอื่น”สถานที่จับกุม บ้านพัก หมู่ 1 ต.คลองหินปูน อ.วังน้ำเย็น จ.สระแก้ว
2. นายธนาวุฒิฯ อายุ 28 ปีผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ ในความผิดฐาน ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือน หรือปลอมไม่ว่าทั้งหมด หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน, สมคบกันโดยการตกลกกันตั้งแต่สองคนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงินและได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้ที่ได้มีการสมคบกัน และร่วมกันฟอกเงิน บ้านพัก ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี
หลังกก.1 บก.ปอท. ได้รับการร้องทุกข์จากผู้เสียหายว่า มีคนร้ายแต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาข่มขู่ผู้เสียหาย โดยแจ้งกับผู้เสียหายว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน และคดียาเสพติด พร้อมส่งเอกสารปลอมต่างๆ มาให้ผู้เสียหายดูจนทำให้ผู้เสียหายเกิดความกลัวและหลงเชื่อว่าบุคคล
ดังกล่าวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจจริง ต่อมาคนร้ายจึงได้หลอกให้ผู้เสียหายโอนเงินเข้ามาตรวจสอบเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ ผู้เสียหายหลงเชื่อจึงโอนเงินไปยังบัญชีคนร้ายรวมเป็นเงินมูลค่ากว่า 4 ล้านบาท
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้ดำเนินการสืบสวนสอบสวนเพื่อจับกุมกลุ่มผู้กระทำความผิด ตามนโยบายเชิงรุกของ พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. ที่ได้มีการสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB)ดำเนินการกวาดล้างขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่เป็นภัยอาชญากรรมที่ก่อความเสียหายต่อประชาชนและสังคม ในวงกว้าง และเน้นย้ำให้มีการเตือนภัยรูปแบบการหลอกลวงของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ พร้อมกับเปิดเผยโฉมหน้าของกลุ่มที่แต่งกายเลียนแบบตำรวจ ข่มขู่ประชาชนให้ได้รับความเสียหาย เผยแพร่เป็นเบาะแสให้กับประชาชนผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย และสื่อต่างๆ
ซึ่งจากการตรวจสอบข้อมูลจากระบบแจ้งความออนไลน์และฐานข้อมูลพบว่า มีผู้เสียหายที่ตกเป็นเหยื่อในลักษณะเดียวกันนี้มากถึง 163 เคส เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงเร่งรัดดำเนินการสืบสวนอย่างต่อเนื่อง จนภายหลังสามารถระบุตัวคนร้ายที่แต่งกายเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจวิดีโอคอลมาหลอกลวงผู้เสียหาย จากนั้นจึงได้รวบรวมพยานหลักฐาน ขออนุมัติศาลออกหมายจับผู้ต้องหาทั้งสองรายตามหมายจับดังกล่าว
โดยผู้ต้องหายอมรับว่า ตนเองได้แต่งตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจและวิดีโอคอลไปหลอกลวงผู้เสียหายอีกหลายราย รวมไปถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงในประเทศไทย ทั้งนี้ผู้ต้องหาให้การว่า ในขบวนการแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ตนเองจะมีหน้าที่วิดีโอคอลเพื่อหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อ และทำหน้าที่ควบคุมเหยื่อผ่านการวิดีโอคอลในระหว่างการหลอกลวง โดยเมื่อเหยื่อหลงเชื่อแล้วจะมีคนร้ายที่เรียกว่าสาย 3 ทำหน้าที่ปิดดีล หลอกให้เหยื่อโอนเงินให้ ซึ่งในระหว่างการหลอกลวงจะมีทั้งคนไทยและคนจีนทำหน้าที่เป็นคนควบคุม และคิดสคริปต์ในการหลอกลวงเหยื่อเพื่อให้เป็นไปตามบทที่วางไว้โดย
หากตนไม่ปฏิบัติตาม หรือต่อต้านจะถูกทำร้ายร่างกาย และหากตนสามารถหลอกจนเหยื่อหลงเชื่อและโอนเงินมาให้ได้ตนจะได้รับส่วนแบ่งจากมูลค่าที่หลอกลวงเหยื่อ