
นายกฯ ยันมาตรการตัดไฟ-น้ำมัน-เน็ต ทำใช้ไฟลด 40-50% ชี้วีซ่าฟรีไม่เกี่ยวทำจีนเทาทะลัก ย้ำต้องแยกคนละส่วน เพราะวันนี้ท่องเที่ยวดีขึ้นจากฟรีวีซ่า
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการดำเนินการกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลังมีมาตรการตัดไฟ น้ำมัน และอินเตอร์เน็ตว่า ที่เห็นชัดคือการใช้ไฟลดลง โดยไฟฟ้าลดปริมาณลงไป 40-50% โดย นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ระบุว่า ประมาณ 2 สัปดาห์ จะได้ตัวเลขที่นิ่ง แต่อาจจะเก็บข้อมูลยากเล็กน้อย เพราะเมื่อเราตัดไฟ แต่ผลที่เกิดขึ้นคือฝั่งเมียนมา ในขณะที่ฝั่งไทยจะต้องดูว่าจำนวนที่คอลเซ็นเตอร์โทรมาหลอกลวงในฝั่งไทยน้อยลงหรือไม่
เมื่อถามว่า ผู้เกี่ยวข้องกับกระบวนการดังกล่าว ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและบุคคลอื่นจะดำเนินการเอาผิดอย่างไรบ้าง นายกฯ กล่าวว่า ต้องดำเนินการแน่นอน คนที่ทำผิดต้องได้รับโทษ ส่วนหลายฝ่ายมองว่านโยบายวีซ่าฟรีเปิดช่องให้จีนเทาเข้าประเทศได้ง่ายขึ้น นายกฯ กล่าวว่า ต้องมองคนละส่วน เราเปิดวีซ่าฟรีไม่สามารถจำกัดว่าคนที่เข้ามาในประเทศคนนี้หลอกได้ คนนี้ห้ามหลอก แต่ผลที่เกิดจากการท่องเที่ยวคือการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
น.ส.แพทองธาร กล่าวต่อว่า ถ้าไปบอกว่าต่อไปนี้วีซ่าฟรีไม่ได้แล้วเพราะจีนเทาเข้ามา ตรงนี้ต้องแยกเป็นคนละส่วน โดยตัวเลขของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาเมื่อปี 2567 จำนวน 35 ล้านคน ถามว่าเกิดอะไรกับประเทศบ้าง และจีดีพีของประเทศขยับหรือไม่ การท่องเที่ยวเข้ามาโรงแรมต่างๆ ได้ประโยชน์ และธุรกิจเอสเอ็มอีได้ประโยชน์มากแค่ไหน ดังนั้น ถ้าจะแก้ปัญหาคอลเซ็นเตอร์ด้วยการยกเลิกวีซ่าฟรีเป็นคนละส่วน จะส่งผลให้การท่องเที่ยวเสียแน่นอน เพราะวันนี้การท่องเที่ยวดีขึ้นมากเนื่องจากวีซ่าฟรี
เมื่อถามว่า การพูดคุยถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกหลอก ทั้งในเมียนมาและกัมพูชา มีความคืบหน้าอย่างไร นายกฯ กล่าวว่า ในที่ประชุมคณะรัฐมนตรีได้พูดถึงคณะทำงานที่จะทำงานร่วมกัน 2 ประเทศ ไทยและจีน โดยทางจีนน่ารักกับเรา และเสนอมาว่าจะทำเรื่องนี้อย่างจริงจัง การเป็นคณะทำงานจะทำให้เกิดความรวดเร็ว ในการจัดการปัญหาเหล่านี้คนที่ถูกหลอกจะแบ่งสัญชาติก็ยาก เพราะมีแก๊งหลอกกันไปมา จึงอยากให้มีคณะทำงาน ตรงนี้สามารถทำงานระหว่างประเทศได้ โดยเรื่องนี้พูดคุยผ่านทางรัฐมนตรี ต่างประเทศ