
ผบ.ทหารสูงสุด ตรวจเยี่ยมการฝึกช่วยเหลือมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัยในงาน Cobra Gold 2025 พร้อม 8 ประเทศเข้าร่วมเสริมศักยภาพรับมือสถานการณ์ฉุกเฉิน
เมื่อวันที่ 27 ก.พ. 68 ที่หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา พล.ต.อภิรัชฎ์ รามนัฎ ผอ.สนภ.1 นทพ. ให้การต้อนรับ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผบ.ทสส. และคณะในการตรวจเยี่ยมการฝึกซ้อมด้านมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัยภายใต้การฝึก Cobra Gold 2025 ที่ศูนย์ฝึกภาคพื้นดิน (ศฝภ.) นทพ. อ.พนมสารคาม จ.ฉะเชิงเทรา
โดยการฝึกในครั้งนี้มีการเข้าร่วมจาก 8 ประเทศ และทหารฝึกซ้อมรวม 465 นาย เน้นพัฒนาความร่วมมือเพื่อให้สามารถตอบสนองสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการฝึกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief Demonstration : HADR DEMO ) ภายใต้การฝึกคอบร้าโกลด์ 2025 ประกอบด้วย การฝึกแก้ปัญหาบนโต๊ะ (HADR TTX) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อทำความเข้าใจบทบาททางทหารในการรับมือกับการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติ ความท้าทายในการดำเนินงาน และความตระหนักถึงกลไกการตอบสนอง ในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ โดยใช้สถานการณ์การเกิดสึนามิ (Tsunami) ในประเทศไทย ระหว่าง 18 ถึง 21 กุมภาพันธ์ 2568 ณ โรงแรมอีสเทิร์น แกรนด์ พาเลซ พัทยา อำเภอบางละมุง จังหวัดชลบุรี
และการสาธิตการฝึกช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาสาธารณภัย (HADR DEMO) ระหว่าง 24 ถึง 27 กุมภาพันธ์ 2568 ณ ศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ซึ่งเป็นการฝึกสาธิตแนวทางในการปฏิบัติเป็นสถานี ได้แก่ ศูนย์ประสานงานนานาชาติ (MNCC) สถานีอุทกภัย สถานีอัคคีภัย สถานีสารเคมีรั่วไหลและโครงสร้างอาคารถล่ม สถานีบริการทางการแพทย์ โดยในปีนี้มีผู้เข้าร่วมการฝึก จำนวน 465 คนประกอบด้วย ฝ่ายไทย จำนวน 358 คน (ทหาร 78 นาย พลเรือน 280 คน) ฝ่ายมิตรประเทศ จำนวน 107 นาย (สหรัฐ 25 นาย, จีน 8 นาย, สิงคโปร์ 6 นาย, มาเลเซีย 4 นาย, อินเดีย 13 นาย, เกาหลี 35 นาย และญี่ปุ่น 16 นาย)
ศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองบัญชาการกองทัพไทย ถือเป็นหน่วยงานสำคัญที่มีบทบาทในการเสริมสร้างศักยภาพด้านการบรรเทาสาธารณภัยทั้งในระดับประเทศและนานาชาติ โดยมุ่งเน้นการจัดการฝึกอบรม การพัฒนาหลักสูตร และการผลิตบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญในการปฏิบัติการด้านการบรรเทาสาธารณภัยอย่างมีมาตรฐานสากล
การฝึกอบรมที่จัดขึ้น ไม่เพียงมุ่งเน้นไปที่กำลังพลของกองทัพไทยเท่านั้น แต่ยังครอบคลุมไปถึงส่วนราชการ ภาคเอกชน และประชาชนทั่วไป เพื่อให้ทุกภาคส่วนสามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างมีประสิทธิภาพและทันท่วงที การฝึกร่วมระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ จึงเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความเข้มแข็งด้านการจัดการภัยพิบัติ โดยอาศัยมาตรฐานสากลเป็นแนวทางหลัก ดังนั้นศูนย์ฝึกแห่งนี้จึงถือเป็นศูนย์กลางของการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนการค้นหาและช่วยชีวิต เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างประเทศ และสร้างความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยพร้อมเป็นผู้นำด้านการบรรเทาสาธารณภัยในเวทีโลกอย่างแท้จริง