กองทัพ มั่นใจ พาทูตดูจุดปะทะหลังกัมพูชา เกิดผลประจักษ์มากกว่า ว่าใครละเมิดข้อตกลงโจมตีพลเรือน ย้ำคุมตัว 18 ทหารเขมรจามหลักสากล จ่อแจ้งเอาผิดเข้าเมืองผิดกฎหมาย ชี้ ช่องอานม้าอยู่ในเส้นปฏิบัติการทางทหารของไทย
เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงการพาผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่ชายแดน เพื่อดูความเสียหายที่เกิดขึ้น จากการกระทำของกัมพูชา ว่า ตอนนี้ยอดของผู้ช่วยทูตทหารยังไม่นิ่ง ซึ่งการพาผู้ช่วยทูตทหารลงพื้นที่อยู่ในแผนของกองทัพบกอยู่แล้ว โดยจะดำเนินการด้วยความรอบคอบเพราะต้องการเน้นเรื่องคุณภาพในการสื่อสารและเชื่อว่ามีสื่อมวลชนต่างประเทศให้ความสนใจรวมทั้งตัวแทนจากต่างประเทศที่อยู่ในประเทศไทยซึ่งอยู่ในหน่วยงานราชการเช่นผู้ช่วยทูตทหารที่ให้ความสนใจ ช่วงนี้มีจำนวนมากกว่าจะนัดหมายได้อาจต้องใช้เวลาขอให้สื่อมวลชนอย่าพุ่งเป้าเรื่องความเร็วอย่างเดียว แต่เราเน้นองค์ประกอบของการสื่อสารได้จำนวนมาก โดยบุคคลที่กองทัพบกเชิญไปมีบทบาทในการสื่อสารข้อมูลเชิงคุณภาพที่เกี่ยวกับภาพลักษณ์ของประเทศไทย ทั้งข้อมูลทหารและรัฐบาล เพื่อให้เป็นไปตามข้อเท็จจริง ไม่เหมือนกับที่กัมพูชาพยายามบิดเบือน โดยเราจะให้ข้อเท็จจริงที่กัมพูชาปฏิบัติกับพลเรือนไทย ซึ่งมีความเสียหายของโรงพยาบาลถึง 20 แห่ง
ทั้งนี้ อาจจะพาไปได้ไม่ครบทุกจุด แต่จะมีการแบ่งกลุ่มการลงพื้นที่ในวันพรุ่งนี้ ซึ่งจะไปทั้งโรงเรียน โรงพยาบาล และดูความเสียหายที่เกิดขึ้นกับชีวิตและทรัพย์สิน รวมถึงร้านสะดวกซื้อ ดังนั้นในช่วงหนึ่งวันจะสื่อสารให้เห็นภาพรวม เพื่อให้เห็นข้อมูลในเชิงประจักษ์ ไม่ใช่การพูดลอยๆ
สำหรับผู้นำคณะต่างประเทศลงพื้นที่นำโดย พล.ท.อานุภาพ ศิริมณฑล รองเสนาธิการทหารบก ทั้งนี้นอกจากผู้ช่วยทูตทหารแล้ว ยังมีเอกอัครราชทูต ซึ่งประสานผ่านทางกระทรวงต่างประเทศมา รวมถึงสำนักข่าวต่างประเทศที่อยู่ในไทยอย่างน้อย 10 สำนักขึ้นไป
ส่วนกรณีที่กัมพูชานำคณะสื่อและผู้ช่วยทูตทหารต่างชาติ ลงพื้นที่ชายแดนตรงข้ามช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี นั้น โฆษกกองทัพบกกล่าวว่า จริงๆ แล้วตรงนั้นถือว่าเป็นพื้นที่อันตรายอยู่ ซึ่งการที่กองทัพบกจะพาคณะผู้ช่วยทูตลงพื้นที่ จะคำนึงถึงความปลอดภัยเป็นหลัก
ส่วนกรณีที่ฝ่ายกัมพูชา พาผู้ช่วยทูตทหารนานาชาติ ลงพื้นที่บริเวณช่องอานม้า จังหวัดอุบลราชธานี เมื่อวานนี้ (30 ก.ค.68) ซึ่งพื้นที่ดังกล่าว เป็นพื้นที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ โดยฝ่ายกัมพูชาได้เข้ามาสร้างสิ่งปลูกสร้างถาวร ซึ่งฝ่ายไทยได้ประท้วงไปแล้วหลายครั้ง ไม่ใช่ทหารไม่ได้ทำหน้าที่ พร้อมยืนยันว่าไทยได้ทำดีที่สุด ซึ่งหลายพื้นที่ฝ่ายกัมพูชาได้รุกล้ำฝ่าฝืนกติกา โดยอาศัยชาวบ้าน ชุมชน เข้ามาทำผิดเงื่อนไขแทน โดยหลีกเลี่ยงการใช้หน่วยทหารของกัมพูชา ดังนั้นต้องรู้เท่าทัน ซึ่งต่อไปเราจะพูดปัญหาอย่างตรงไปตรงมาว่า ที่ผ่านมาเกิดอะไรขึ้น ก่อนที่จะเกิดสถานการณ์สู้รบกันนี้ โดยยืนยันว่า พื้นที่ดังกล่าวอยู่ในเส้นปฏิบัติการทางทหาร
พล.ต.วินธัยกล่าวอีกว่า การที่ผู้ช่วยทูตทหาร และสื่อมวลชนต่างชาติเข้ามาในพื้นที่ในลักษณะนั้น ต้องยอมรับว่า เราจะเอาช่วงเวลาของเมื่อวานมาตัดสินไม่ได้ เนื่องจากมีสัญญาหยุดยิงแล้ว ซึ่งการยึดตาม MOU 2543 ไม่ได้หมายความว่า จะเดินเข้าเดินออกไม่ได้ แต่จะต้องทำการภายใต้กติกา ในจุดที่สำคัญ ซึ่ง 2 ฝ่ายจะมีเจ้าหน้าที่อยู่ฝ่ายละ 5-7 คน แต่จะต้องไม่มีการฝ่าฝืนเหมือนกับการขุดคูเลต เพราะฉะนั้นเหตุการณ์ที่เข้ามาในพื้นที่บ้าง จึงเป็นไปได้ โดยจะให้ทุกอย่างตึงเครียดไปหมดคงเป็นไปได้ยาก เพราะมีพรมแดนติดกัน
ทั้งนี้ กรณีการควบคุมตัวทหารกัมพูชา ซึ่งทางฝั่งผู้นำกัมพูชาออกมาบิดเบือนข้อมูลว่าไทยลักพาตัวทหารกัมพูชา พล.ต.วินธัยกล่าวว่า ข่าวสารที่มาจากฝั่งกัมพูชา ต้องใช้วิจารณญาณในเรื่องของความน่าเชื่อถือ ซึ่งการปฏิบัติต่อทหารกัมพูชาที่เราสามารถควบคุมตัวไว้ได้ ในวันแรกเราได้ยึดหลักการปฏิบัติตามกฎหมายสากล เพราะเราถือว่าทหารแม้จะอยู่ฝั่งตรงข้าม ก็เป็นบุคคลที่มีเกียรติ ถือว่าต่างฝ่ายต่างปฏิบัติหน้าที่เพื่อประเทศชาติของตนเอง เป็นหลักพื้นฐานทางทหาร ไม่ใช่ว่าฝั่งตรงข้ามวางอาวุธแล้วเราจะมองเขาเป็นคนร้าย มันไม่ใช่ เพราะกองทัพบกของไทย ตลอดระยะเวลาที่เรามีปฏิบัติการทางทหาร เราเคร่งครัดในกฎกติกาที่เป็นสากล เรายึดถือความเป็นสุภาพบุรุษและพิสูจน์สิ่งเหล่านั้นได้ สิ่งไหนจริงเราบอกจริง สิ่งไหนไม่จริง เราก็บอกว่าไม่จริง เราก็พูดไปตามความจริง ตนเองเชื่อว่าสังคมโลกในปัจจุบัน ให้ความเชื่อถือ ความตรงไปตรงมา ของประเทศไทย ในทุกระดับ ไม่ใช่เฉพาะในฝ่ายทหาร แต่รวมถึงฝ่ายกระทรวงการต่างประเทศและรัฐบาลด้วย โดยในปัจจุบันเราได้ดำเนินการกับทหารกัมพูชาตามกฎหมายปกติ ในข้อหาหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย ซึ่งเป็นการดำเนินการตามปกติ ส่วนที่บางฝ่ายอาจจะมองไปถึงเรื่องการควบคุมทางทหาร ซึ่งบางฝ่ายอาจจะไปพูดเกินเลยใช้คำว่าเชลยศึก ซึ่งเรื่องนี้อาจไปมีผลในเวทีต่างประเทศ จึงได้รับการประสานให้ใช้ว่าควบคุมตัวทหารกัมพูชาได้ ซึ่งทหารกัมพูชาก็ไม่ได้มีท่าทีขัดขืนหรือต่อสู้แต่อย่างใด
เมื่อถามว่าจะมีการดำเนินการตามกฎหมายในข้อหาอื่น นอกจากหลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมาย รวมถึงเรื่องการพกพาอาวุธปืนเข้ามารุกล้ำอธิปไตยของไทยหรือไม่นั้น พล.ต.วินธัยระบุว่า ตอนนี้เข้าสู่การดำเนินการตามกฎหมายปกติต้องให้พนักงานสอบสวนเป็นผู้ดำเนินการตามกรอบกฎหมายที่เรามี ถ้ามองในเชิงของความรู้สึกที่ดูว่าตรงนั้นมันความรุนแรง เราก็สามารถปรับได้ แต่มันเป็นข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น
เมื่อถามว่ากรณีที่ ฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ออกมาโพสต์ข้อความผ่านสื่อโซเชียลให้ไทยส่งตัวทหารกัมพูชากลับจะต้องมีขั้นตอนอย่างไรบ้างนั้น และใช้เวลานานเท่าใด พล.ต.วินธัยเปิดเผยว่า เป็นไปตามขั้นตอนกฎหมายปกติ ถ้าเป็นในมุมของความผิด การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย ก็เป็นเรื่องของพนักงานสอบสวนที่ต้องดำเนินการ ต้องดูว่ารายละเอียดของการสอบสวนมีอะไรบ้าง จึงยังไม่สามารถดำเนินการส่งตัวกลับได้ ถ้าเราพูดถึงกฎหมายแรงงาน หากมีการลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมาย มีขั้นตอนอย่างไรก็เป็นไปตามนั้น
เมื่อถามอีกว่าจะมีการประณามกัมพูชา ที่เอาเจตนาดีของประเทศไทยไปบิดเบือนหรือไม่นั้น พล.ต.วินธัยระบุว่า เราก็พยายามสื่อสารข้อเท็จจริงออกไป ว่ากัมพูชามีการสื่อสารที่จะทำให้สังคมโลกเข้าใจประเทศไทยและกองทัพไทยผิด
